บริการตรวจสอบสภาพรถมือสอง ก่อนตัดสินใจซื้อ BY.ช่างอาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ
โดย อาจณรงค์ ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 3 ม.ค. 2554.
บริการตรวจสอบสภาพรถยนต์มือสองก่อนตัดสินใจซื้อ By. อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ 085-325-2353
ด้วยประสบการณ์กว่า 7 ปี (7ปี คุณภาพ)
มีประสบการณ์ด้านงานช่างเครื่องยนต์, ช่วงล่าง, ระบบไฟฟ้า, และงานด้านทำสีรถยนต์
ให้คำปรึกษาเรื่องการ SET Up รถยนต์มือสองของท่าน ให้มีสมรรถนะเสมือนรถใหม่ออกศูนย์
**ท่านที่ต้องการจะซื้อรถมือสองสักคัน แต่ไม่มีใครดูให้ ไม่ทราบประวัติรถ กลัวรถเฉี่ยวชนหนักมา หรือเครื่องยนต์ช่วงล่างไม่สมบูรณ์ รถถูกตัดหัวเปลี่ยนหัวมาหรือเปล่านั้น ทุกคำถามผมมีคำตอบ เพียงคุณโทรหาผม 085-325-2353 ได้ตลอดตั้งแต่ 8.00-22.30 น. ทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ**
หรือคุณลองคลิ๊กดูวิธีการสอนดูรถมือสองเบื้องต้น ของผมดูก่อนครับ บางทีคุณอาจจะไม่ต้องจ้างผมไปดู มีอยู่ 4 PART นะครับ และบทความข้างล่างนี้ก็ลองอ่านๆ กันดูก่อนได้ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=yQr4TZkRpSk อันนี้ Part 1
http://www.youtube.com/watch?v=OmyfMFX4S10&feature=mfu_in_order&list=UL Part 2
http://www.youtube.com/watch?v=mkRKFRD-SVk&feature=mfu_in_order&list=UL part 3
http://www.youtube.com/watch?v=1F7AjzK9geU&feature=mfu_in_order&list=UL part 4
ต่อมาอันนี้บทควาทที่ผมเขียนนะครับ อ่านดูศึกษากันก่อน(ผมแฟร์ๆ ครับ ใจจริงก็อยากช่วยเหลือสังคม ให้พวกคุณได้รถดีๆ กัน แต่ถ้าหากคุณๆ ดูคลิปแล้ว อ่านบทความผมแล้ว ยังไม่มั่นใจ ก็โทรหาผมโดยตรงเลยแล้วกันครับ)) 085-325-2353 อาจณรงค์ ครับ
การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม โดย อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ
ขอเรียนทุกท่านไว้ก่อนนะครับว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงประสบการณ์ของผมเท่านั้นผมอาจจะตั้งกฎเกณท์ไว้ค่อนข้างสูงและคิดเสมอว่ารถไม่ได้มีคันเดียวต้องหาที่ดีที่สุดถ้าสงสัยคือหยุดทันทีไปหาใหม่เพราะเป็นความหวังและความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่มีต่อผมและผมจะดูตามความคิดของผมและให้ผู้ซื้อเป็นคนคุยกับคนขายและผมจะไม่พูดหรือตอบคำถามใดๆทั้งสิ้นให้ดูเหมือนพวกรับจ้างดูรถทั่วๆไปและผมจะให้ผู้ซื้อเลือกไว้2หรือ3คันซึ่งผมจะไล่ดูตามลำดับ เมื่อก่อนผมเคยรับดูรถมือสองโดยไม่คิดค่าตอบแทน(ตามแต่จะให้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้างหนึ่งมื้อ)แต่ก็จำไม่ได้ว่าดูไปทั้งหมดกี่คัน อันนี้ของฟรีใครๆก็ชอบตอนหลังอยากทำเป็นอาชีพเหมือนกันแต่เนื่องจากฟรีมาตั้งแต่ต้นก็เลยลำบากใจสุดท้ายก็ดูให้เฉพาะที่ขับมาให้ดูที่บ้านเท่านั้น (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
- เมื่อผมเดินทางไปถึงสถานที่ที่รถคันที่เขาจะให้ดูให้จอดอยู่ผมก็จะเริ่มดูจากสภาพภายนอกก่อนโดยเคาะตัวถังรอบๆรถว่าเป็นเสียงของเหล็ก(เสียงแก๊งๆใสๆ)หรือว่าเป็นเสียงทึบๆ(ปุ๊คๆ)ของสีโป๊วถ้าเป็นจุดที่ไม่สำคัญและบริเวณไม่กว้างเช่นแก้ม ด้านข้าง ด้านท้ายหรือประตูก็ถือว่ายังยอมรับได้(อันนี้เป็นเรื่องปกติการที่จะไม่เฉี่ยวไม่ชนเลยเป็นไปได้ยากมาก)แต่ถ้าเจอด้านข้างหรือด้านหน้าเป็นหรือด้านท้ายหรือหลังคาที่เป็นบริเวณกว้างผมก็จะไม่สนใจรถคันนั้นทันที
- ถ้ายอมรับได้ก็จะมาดูเรื่องสีรถว่ามีสภาพเรียบร้อยแค่ไหน ชนิดของสีที่ใช้ที่ใช้ต่างกันหรือไม่(สีธรรมดา-ลูไซด์-สีเกร็ด)มีตรงไหนที่พื้นสีเข้ม-ซีดแตกต่างกันโดยจะเน้นไปที่สีของฝากระโปรงเทียบกับแก้มทั้งสองข้างถ้าสีไม่เหมือนกันแสดงว่ามีการทำสีมา(อาจจะจากการชนหรือไม่ก็ได้)จากนั้นจะนำทั้งหมดไปเทียบกับหลังคาและฝาท้ายแต่จะเน้นที่หลังคาเพราะ ถ้าหลังคาถูกทำสีที่เกิดจากการชนคือการชนที่รุนแรงมากหรือคว่ำมาไม่น่าคบแน่ๆอันนี้จะดูที่ขอบยางของกระจกหน้าและกระจกหลังถ้าทำสีมาสีจะแตกตรงมุมขอบให้เห็น ดูความสม่ำเสมอของขอบประตูด้านบน-ล่างว่ามีเอียงหรือบิดหรือต่ำๆสูงๆหรือไม่ทั้งสี่บานถ้าพบตรงจุดนี้ก็จะหยุดเช่นกันยิ่งถ้าเจอประเภทสาดสีมาทั้งคันผมจะไม่สนใจรถคันนั้นเลย
- ถ้าผ่านจุดนี้ผมก็จะเปิดดูที่ห้องโดยสารผมจะเปิดพื้นให้ถึงพรมชั้นล่างสุดโดยเฉพาะตรงที่พักเท้าด้าหน้าทั้งสองข้าง(ข้างหลังไม่เน้นมาก)และจะดมดูจะต้องไม่มีกลิ่นอับของความชื้นเหมือนซักผ้าตากไว้ในร่มเพราถ้ามีเป็นไปได้ว่าระบบแอร์รั่ว-มีการผุของเหล็กที่ผนังกั้นห้องโดยสารกับห้องเครื่อง-มีการรื้อหรือยกเครื่องออกจากตัวรถแล้วประกอบไม่ดีจนมีน้ำรั่วเข้ามาได้(อาจจะซ่อมหรือชนมา)เชื่อไหมบางคันเจอน้ำใต้พรมเลยก็มี ถ้าเจอก็หยุดเช่นกันอันนี้ไม่มีข้อแม้
- ถ้าผ่านก็จะดูขอบกระจกหน้า(ดูจากข้างใน)อาจจะต้องถอดขอบออกถ้าเป็นกระจกจากโรงงานจะต้องไม่มีเศษซิลิโคนให้เห็นและขอบทุกด้านต้องแนบสนิท(ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆจะดูที่ยี่ห้อทุกบานต้องยี่ห้อเดียวกัน)ถ้ามีเศษซิลิโคนหรือกระจกแนบข้างแต่อีกข้างโด่งอันนี้ก็แสดงว่าเคยเปลี่ยนกระจกหน้ามา(ไม่ว่าด้วยเหตูใดก็ตาม)ผมก็จะหยุดเช่นกัน
- ถ้าผ่านก็ดูต่อคราวนี้ก็บิดสวิทช์กุญแจดูสัญญานเตือนต่างๆต้องติดครบแล้วก็สตาร์ทเครื่องดูสัญญานเตือนทุกตัวต้องทำงานตามปกติถ้าไม่ก็ดูอีกทีว่ารับได้หรือเปล่า(เช่นรูปแบตเตอรี่อาจเป็นไปได้ถ้ารถจอดนานจนแบตหมดก็จะเก็บความสงสัยไว้ก่อน)จากนั้นก็จะเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีในรถทั้งหมดตัวไหนทำงานไม่ทำงานก็จำไว้และจะค้างไฟหน้าไว้ที่ไฟสูงเปิดแอร์แรงสุด แล้วค่อยเปิดกระโปรงหน้า (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
- มาดูที่ห้องเครื่องในส่วนนี้ค่อนข้างเน้นมากถ้าเจอตรงไหนจะหยุดทันทีอันแรกก็เปิดฝาหม้อน้ำทิ้งไว้(บางรุ่นไม่มีก็เปิดที่พักน้ำแทน)จากนั้นก็เริ่มฟังเสียงและใช้มือกับที่ตัวเครื่องดูการสั่นเสทือนที่จะบอกถึงความเรียบของเคื่องยนต์ในรอบเดินเบาต้องไม่มีการกระตุก การสั่นต้องต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ(ไม่ใช่สั่นบ้างหยุดบ้าง) ฟังเสียงสายพาน-ลูกรอก-พัดลมต้องไม่ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวเกินพอดี ดูขอบห้องเครื่องด้านหน้า-ซ้าย-ขวาต้องมีร่องรอยของจุดสป็อตของการอาร์คไฟฟ้าที่ใช้ในการประกอบ(เป็นหลุมที่มีระยะห่างเท่าๆกันถ้ามีการชนสีโป๊วจะอุดรอยพวกนี้เป็นเรียบหมด) (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
- จากนั้นก็จะดูชุดโคมไฟหน้าว่าเรียบเสมอกับกับไฟเลี้ยวหรือเปล่ามีการปรับเอียงไว้หรือไม่ถ้าเอียงก็ปรับให้ตรงและเสมอเป็นปกติซะแล้วเดินไปด้านหน้าห่างจากรถประมาณ 10-15เมตรแล้วหันมาดูไฟหน้ารถ(ที่ผมเปิดทิ้งไว้ที่ไฟสูง)สังเกตุไฟทั้งสองข้างจะต้องมีความสูงที่ใกล้เคียงกันถ้าสูงข้างต่ำข้าง(อันนี้ก็เหมือนตอนกลางคืนที่บางครั้งเราขับสวนคันอื่นไฟข้างนึงสูงอีกข้างนึงต่ำ)แต่ผมได้ปรับโคมให้เสมอกันแล้วอันนี้ร้อยทั้งร้อยบอกได้เลยชนด้านหน้าหรือเฉียงๆข้างใดข้างหนึ่งมาหลีกให้ห่าง (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
- ถ้าผ่านก็กลับมาที่รถดึงสายคันเร่งๆเครื่องดูว่าเร่งดีหรือไม่ต้องไม่มีสดุดหรือสำรักน้ำมันและเสียงแขกของวาล์ว(แก๊กๆ)ต้องไม่ดังจนน่าเกลียด ตอนนี้เครื่องร้อนแล้วก็จะมาดูน้ำหม้อน้ำหรือหม้อพัก(ที่เปิดฝาทิ้งไว้แต่ทีแรก)การไหลวนต้องไม่มีฟองอากาศ(ยิ่งเร่งเครื่องฟองยิ่งใหญ่ขึ้น)ถ้ามีแสดงว่าเครื่องเคยโอเวอร์ฮีตมาจนฝาสูบโก่งไม่ควรคบ ถ้าผ่านก็จะก้มดูด้านล่างว่ามีน้ำแอร์หยดอย่างสม่ำเสมอดี(ถ้าไม่มีหยดเลยก็ไม่เอา)และต้องไม่มีอย่างอื่นหยดนอกจากน้ำแอร์จากนั้นก็ไปปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดไว้แล้วดับเครื่องที่สำคัญคือระหว่างที่เช็คอยู่ถ้าคนขายไปดับเครื่องผมก็จะไม่ดูต่อเช่นกัน(แสดงว่าต้องการปกปิดบางอย่าง)แล้วก็มาดูรอยรั่วของน้ำตามท่อน้ำหรือน้ำมันในระบบว่ามีใหม่ๆออกมาตรงไหนบ้าง(อันนี้พอรับได้บ้างแต่เก็บข้อมูลไว้)ดูตามจุดประกบต่างๆเช่นฝาครอบวาล์ว-เครื่อง-หัวเกียร์ว่ามีร่องรอยของสารซีลป้องกันรั่วหรืไม่(สีส้มหรือสีขาว)ถ้ามีก็แสดงว่าจุดนั้นๆมีการถอดซ่อมมาแล้ว(เก็บเป็นข้อมูลไว้)รอซักพักแล้วก็มุดดูพวกลูกยางกันฝุ่น-กันโคลง-ยางหุ้มเร็คพวงมาลัยว่ามีจุดไหนชำรุดเสียหายหรือจาระบีรั่วหมดบ้าง(พอรับได้ก็เก็บข้อมูลไว้)จากนั้นก็ปิดฝาหม้อน้ำหรือหม้อพักเช็คระดับของเหลวทุกอย่างเช็คการยุบตัวของโช้คต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไปและต้องไม่มีเสียงกระทบกันของเหล็ก(เก็บข้อมูลไว้) จากนั้นก็ทดลองขับ(ถ้าไม่ให้ลองขับก็หยุดเช่นกัน)ดูความสม่ำเสมอของอัตราเร่งต้องไม่กระตุก รอบเครื่องกับความเร็วต้องสัมพันธ์กันไม่ใช่รอบสูงแล้วแต่รถไม่วิ่งก็ใช้ไม่ได้ พยามหาถนนที่โล่งอัดและลากเกียร์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือต้องไม่มีการสดุดของเครื่องเลยและการสับเปลี่ยนเกียร์(ธรรมดา)จะต้องลื่นเข้าง่ายไม่มีเสียงโครกครากให้ได้ยินอันหมายถึงความเสื่อมสภาพของครัทช์หรือครัทช์ที่เคยไหม้มาก่อน จากนั้นก็รักษาความเร็วไว้ที่100-120แล้วเบรคแรงๆที่ดีต้องไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าด-อาการปัด-พวงมาลัยสั่น-รถสั่นทั้งคันต้องไม่มีให้เห็นถ้าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรพอรับได้(เก็บข้อมูลไว้) ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็จะเบรคจนรถหยุดเลยเครื่องต้องไม่ดับด้วยจากนั้นผมก็จะเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันหาที่โล่งหมุนพวงมาลัยซ้าย-ขวาสุด(ทีละด้าน)แล้วเร่งเครื่องออกตัวแรงๆต้องไม่มีเสียงก๊อกๆแก๊กๆของเพลาหรือลูกหมาก(ถ้ามีก็เก็บข้อมูลไว้) (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
ตลอกเวลาที่ลองขับที่หน้าปัดต้องไม่มีสัญญานอะไรกระพริบขึ้นมาและเกร์ความร้อนต้องนิ่งประมาณกลางๆ(หรือที่ใดที่หนึ่ง)โดยไม่เลื่อนขึ้นลงจึงจะถือว่าเยี่ยม เมื่อออกจากปั๊มมาก็จะมองหาหมู่บ้านจัดสรรเจอปุ๊บก็เลี้ยวเข้าไปเลยหาช่องที่มีเนินปูนต์กันรถวิ่งเร็วหรือแมงกะไซค์แล้วจะอัดประมาณ60ลุยทดสอบช่วงล่างซัก2-3จุดเพื่อทดสอบช่วงล่างจะต้องไม่มีเสียงดังของเหล็กกระทบกันให้ได้ยินแต่ถ้าเป็นเสียงทึบๆของโช้คหรือสปริงก็ปกติ ในระหว่างการทดลองขับ(ผมจะไปกับผู้ขายเท่านั้นให้ผู้ซื้อคอยที่เต็นท์หรือที่บ้านของผู้ขาย)ถ้ามีการเสนอเงินให้ผมเพื่อให้เชียร์รถของเขาจนขายได้(เพราะเขาคิดว่าผมเป็นพวกรับจ้างดูรถทั่วๆไป)ผมก็จะเลิกสนใจรถคันนั้นทันทีเช่นกัน(เคยมีเสนอให้ต่ำสุด5พันและสูงสุด2หมื่น) จากนั้นก็เอารถไปคืนแล้วลงจากรถมาดูสภาพของยางว่าจะยังสามารถใช้งานต่อไปได้มากน้อยเพียงใด(เพื่อเป็นข้อมูล)ถ้ายางมีกลิ่นเหม็นไหม้หนือสึกแบบดำอย่างเห็นได้ชัดและกดดูที่ดอกแข็งๆ(ทั้งที่ยังร้อนอยู่)แสดงว่าหมดสภาพเพราะถึงแม้จะไปเซาะร่องยางมาการวิ่งดังกล่าวจะแสดงผลทันที จากนั้นก็กลับออกไปดูคันที่สองและที่สามตามลำดับ(บอกว่าขอเวลาคิดก่อนอย่าหลงกลวางเงินมัดจำโดยเด็ดขาดขายได้ก็ให้เขาขายไป)เมื่อครบแล้วก็กลับบ้าน(อันนี้ผมกลับจริงๆนะครับ)แล้วก็มาสรุปให้ผู้ซื้อฟังว่าแต่ละคันเป็นอย่างไร ซื้อมาต้องซ่อมอะไร ใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่คันไหนน่าสนใจที่สุดตามลำดับหนึ่งสองสามแล้วให้ผู้ซื้อไปตัดสินใจและไปต่อรองราคากันเอาเองผมไม่เกี่ยว(แต่ทุกคันที่ผมไปดูให้ผมรับประกันซ่อมให้ด้วยตลอดอายุการใช้งานและผมจะให้เครดิตกับเต็นท์ที่มีการรับประกันหลังการขายเป็นลายลักษณ์อักษรสูงกว่าเต็นท์ทั่วๆไป) และขอย้ำว่าการดูรถบ้านสำหรับผมจะใช้วิธีการโทรถามสถานที่หรือเลขที่บ้านก่อนแต่จะนัดดูรถในอีก5-7วันหรืออาจจะยังไม่นัดเลยจากนั้นผมจะไปหาบ้านหรือสถานที่ดังกล่าวจนเจอแล้วจะซุ่มดูอยู่1-2วันต้องขับตามดูการใช้งานและสภาพที่พอดูได้จากระยะไกลด้วยผมจะเลือกเฉพาะรถที่มีการใช้งานอยู่เท่านั้น ถ้าเจอแบบคลุมผ้าหรือจอดทิ้งไว้ก็ไม่เอาครับหรือบางทีขับตามไปเจอเลี้ยวเข้าอู่อันนี้ก็ไม่เอา หาบ้านไม่เจอก็ไม่เอา นัดนอกสถานที่ก็ไม่เอา ยิ่งเป็นเบอร์บ้านยิ่งเช็คง่ายถาม 13(เดี๋ยวนี้เป็น 1133 แล้ว)ถามหาชื่อเจ้าของบ้านของเบอร์นั้นๆว่าตรงกับเจ้าของรถหรือไม่บางทีก็ไม่ตรงกันก็ไม่เอา(อาจจะมีเต็นท์มาเช่าหน้าบ้านขาย) ดังนั้นการดูรถบ้านสำหรับผมแล้วจะยากกว่าการดูรถเต็นท์ครับเพราะดูได้แค่อาทิตย์ละไม่เกิน 2 คันทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงคร่าวๆ(แค่นี้ก็ยาวมากแล้ว)ยังมีรายละเอียดปรีกย่อยอีกมากพอดูเหมือนกันครับแต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ขอย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นกฏที่ผมสร้างขึ้นมาเองอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ครับไม่จำเป็นต้องเชื่อครับเพราะ ปล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ
การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม(ตอน2)
ขอใช้ชื่อตอนนี้ว่า...?ป้องกันตัวยังไงไม่ให้โดนหลอก?.....
ที่มา
เรื่องนี้โดยส่วนตัวแล้วเป็นเรื่องที่ดีและดีกว่าตอนแรกเสียอีก แต่มันออกจะหมิ่นเหม่มากไปหน่อย แม้ผมจะเคยทำลักษณะนี้มาก่อนตั้งแต่การเริ่มต้นหรือดูรถยังไม่เป็นเท่าไหร่แต่กาลเวลาก็ทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปเพราะตรงนี้มันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวในการเลือกซื้อรถมือสองจริงๆที่ลดโอกาสเสี่ยงได้มากที่สุด และไม่เกี่ยวข้องกับใครหรือกลุ่มผู้ประกอบการณ์ใดๆทั้งสิ้น
ความจริงแล้วผมพยามสื่อในเรื่องการซื้อรถมือสองไปแล้วทั้งจากบทความหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น...
?การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม?
?ผมก็อยากมีรถ(มือสอง)ซักคัน?
?อาชีพรับจ้างดูรถมือสองไว้ใจได้แค่ไหน?
แต่ก็ยังมีสมาชิกในชมรมคนรักรถบางท่านที่ประสพปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ(บางราย)ที่ขาดคุณธรรมและไร้จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ แม้บทความที่เคยพูดเรื่องการป้องกันจากหลายๆแง่ที่เคยยกมาในบทความที่แล้วๆมาแต่มันก็อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันตัวเอง บางท่านอาจจะมองว่าสิ่งที่ผมเขียนให้อ่านกันนั้นใช้เวลามากเกินไปหรืออาจจะหารถใหม่ได้เลย ซึ่งท่านเหล่านั้นอาจจะไม่เคยเจอปัญหามาก่อนก็เลยยังไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของการถูกเอาเปรียบแบบซึ่งหน้าแถมไม่ผิดกฎหมายด้วยว่ามันเป็นยังไง แต่ถ้าท่านเจอเหตุการณ์ด้วยตนแม้แค่ครั้งหนึ่งครั้งเดียว ท่านอาจจะเข้าใจเรื่องราวหรือสิ่งต่างๆที่ผมเคยพูดเคยย้ำหรือจะรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าถ้าท่านสามารถทำในสิ่งที่ผมได้พูดไปแล้วนั้นได้มันคุ้มค่ากับสิ่งที่แลกมาด้วยความขมขื่น ความเจ็บปวด เงินที่ต้องเสียไป เวลาที่เสียไปในภายหลังจากการซื้อรถมาแล้วนะครับ
มาถึงตรงนี้คงเน้นหลักๆจริงๆแบบปลอดภัยมากที่สุดเพื่อป้องกันตัวเองมากที่สุด โดยเฉพาะท่านที่อาจจะมีทุนไม่มากและไม่ค่อยรู้เรื่องรถมากนัก ขั้นตอนต่างๆที่จะลำดับให้ฟังเป็นขั้นตอนในการเลือกซื้อนะครับไม่ใช่การเลือกรถ ดังนี้ครับ
1. การเลือกเต็นท์
1. ผมจะมองไปที่เต็นท์ที่มีการโฆษณาตามสื่อต่างๆและมีรถคันที่เราเลือกไว้อยู่ในโฆษณานั้นด้วยอย่างน้อย 2สื่อ และในคำที่ลงไว้จะต้องระบุหรือกล่าวไปในทำนองที่ว่า?รถพร้อมใช้?และ/หรือ?รับประกันทุกคัน?และ/หรือ??รับประกันคุณภาพ?และ/หรือ?รับประกันไม่มีคว่ำ?และ/หรือ?รับประกันไม่มีชนหนัก?และ/หรือ?ถ้าพบว่ามีปัญหายินดีคืนเงิน?และ/หรือ?รับประกันที่ระบุหลังการขายเป็นระยะเวลาที่แน่นอนอย่างน้อยที่สุด 7วันเช่นซ่อมฟรี?เพราะข้อความเหล่านี้สามารถเป็นข้อผูกมัดได้ในกรณีที่เกิดปัญหาถือว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงหรือหลอกลวง ถ้าแน่จริงต้องกล้าลงโฆษณาซิ
2. ลงลึกในรายละเอียดกับทางเต็นท์ว่าที่เขารับประกันนั้นมีอะไรบ้างอย่างน้อยสุดภายใน 7 วันถ้ามีปัญหาสามารถเคลมอะไรได้บ้างและทางเต็นท์สามารถออกหนังสือรับรองการรับประกันให้ได้หรือเปล่า ถ้ารถคันนั้นๆดีจริงตามกล่าวอ้างเขาสามารถออกหนังสือรับรองระบุการรับประกันให้ได้ ถ้ามีการบ่ายเบี่ยงแสดงว่าของปลอมครับเพราะแค่ 7วันยังไม่กล้ารับรองแสดงว่ารถคันนั้นๆพร้อมที่จะเกิดปัญหาได้ทุกเวลา
2. การเก็บหลักฐาน โดยเก็บโฆษณาทุกชิ้นที่เกี่ยวข้องกับรถคันที่จะซื้อเท่าที่จะหาได้ที่ระบุตามข้อ 1.1
3. การจ่ายหรือวางเงินจอง
1. หาพยานที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องไปด้วยในการณีที่ต้องเซ็นต์หรือเป็นพยานตามข้อ 1.2
2. จะต้องได้หนังสือรับรองการรับประกันตามข้อ 1.2 ก่อนจ่ายเงิน
3. ขอให้มีการระบุวันที่รับรถหรือการนัดในใบจองหรือใบนัดทำสัญญา
4. ขอให้มีการระบุอย่างชัดเจนว่าวันรับรถจะมีการแก้ไขจุดใดให้บ้างหรือรถจะอยู่ในสภาพใดถ้ามีสิ่งที่ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนยกเว้นที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์(อันนี้พูดไปแล้วในบทความเดิมเรื่องการเลือกรถมืองสองในมุมมองของผมตอนแรกที่กล่าวมาข้างต้น)หรือระบบแอร์เช่น แอร์ไม่เย็นทางเต็นท์มักอ้างว่าน้ำยาหมดวันรับรถจะเติมให้ขอให้สัญนิฐานเลยว่าตู้แอร์รั่วเพราะโอกาสที่น้ำยาแอร์จะรั่วซึมออกจากระบบที่เป็นระบบปิดนั้นเกิดขึ้นน้อยมากค่าซ่อมราว 3พันขึ้นไปและจะมีปัญหาหลังซื้อไปราว 10-45วัน(ตามแต่จะรั่วมากหรือน้อย)และเสียเวลาอีกประมาณ 6-48ชั่วโมง
5. ต่อรองการวางเงินจองให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่น 2-5 พัน(ไม่ควรเกิน 10พัน) ยิ่งมีการเรียกเงินมัดจำสูงเท่าไหร่ยิ่งเป็นการส่อแววความไม่ซื่อสัตย์มากเท่านั้น
6. ตกลงกันก่อนว่าขอถ่ายภาพรถคันที่จะวางเงินมัดจำถ้าไม่ยินยอมก็ยกเลิกไปเลย
7. ทำการถ่ายรูปรถคันนั้นด้วยกล้องธรรมดา(ที่ใช้ฟิล์ม)ทุกซอกทุกมุมให้ละเอียดและทำการล้างอัดทันที(ไม่เกิน 1 วันหลังจากถ่าย)พร้อมเก็บหลักฐานการล้างอัดรูปไว้ด้วยเพื่อเป็นการป้องกันการเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ออกจากตัวรถและเป็นหลักฐานว่าจะมีการซ่อมหรือแก้ไขตามข้อตกลง(อาจจะมีการใช้นิ้วหรือมือชี้ระหว่างถ่ายรูปในจุดที่ตกลงกันว่าจะแก้ไขให้เรียบร้อย)
8. หรือจะจ่ายคนละครึ่งขอให้ระบุลงในใบจองให้เรียบร้อยตกลงกันให้เรียบร้อยว่าค่าใช้จ่ายบางส่วนเช่นค่าโอน ใครจะเป็นคนจ่าย
9. ตรวจเช็คหลักฐานต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดให้เรียบร้อย พร้อมกับให้เอกสารส่วนของเราถ้าเป็นการเช่าซื้อ
10. วางเงินมัดจำและนัดทำสัญญาหรือนัดวันจัดสินเชื่อ
4. ทำสัญญาซื้อ-ขายหรือเช่าซื้อ
1. วันที่ทำสัญญาซื้อ-ขายหรือเช่าซื้อและวันรับรถให้เป็นวันเดียวกันและให้เร็วที่สุดนับจากวันจองวันต่อวันยิ่งดี
2. ตรวจดูให้แน่ชัดว่าคนที่ทำสัญญากับเราเป็นผู้ประกอบการตัวจริง
3. ถ้ามีการไม่ทำตามข้อกำหนดหรือไม่สามารถส่งมอบรถตามกำหนดให้ยกเลิกสัญญาโดยไปแจ้งความนำบันทึกมาขอรับเงินมัดจำคืนถือว่าเป็นการผิดสัญญาในการส่งมอบรถ(ทีเราไม่ไปตามกำหนดเขายังสามารถริบเงินมัดจำของเราได้เลย)
4. ในขั้นตอนการรับ-มอบรถให้ปฎิบัติตามข้อ 3.7คือการถ่ายรูปเพื่อเป็นการยืนยันว่ารถที่เรามาดูอยู่ในสภาพที่ได้ตกลงกันไว้มิได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพโดยที่เราไม่ยินยอมหรือตามสภาพที่ได้ตกลงในวันที่เราจองรถ
5. ถ้ารถเกิดปัญหาในระยะประกันตามที่ระบุการรับประกันจะทำยังไง
1. จอดรถทันที(ถ้าวิ่งไม่ได้)นำหลักฐานที่มีทั้งหมดรวมถึงหนังสือและสื่อที่ระบุการรับประกันไปลงบันทึกประจำวันที่ที่สถานีตำรวจ โดยระบุด้วยว่าจะนำรถกลับไปที่เต็นท์ถ้ารถวิ่งได้หรือจะลากไปกรณีที่วิ่งไม่ได้เพื่อให้ทางเต็นท์รับผิดชอบตามเงื่อนไขรับประกัน
2. หลังลงบันทึกแล้วแจ้งไปที่เต็นท์ว่ารถเกิดปัญหาสอบถามว่าจะช่วยเหลือยังไง
3. ถ้าการติดต่อไปนั้นมีการบ่ายเบี่ยงให้ลากรถ(ในสภาพที่ถูกต้องกรณีที่วิ่งไม่ได้)กลับไปฝากจอดไว้ที่เต็นท์แต่ถ้ารถยังวิ่งได้ก็ขับไปฝากจอดที่เต็นท์และนัดวันมารับรถหลังการซ่อม(((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
4. ถ้าทางเต็นท์บ่ายเบี่ยงที่จะซ่อมหรือปัดความรับผิดชอบแจ้งความดำเนินคดีทางกฎหมายทันทีอย่ารอช้าและไม่ควรทำแค่ที่เดียวอาจจะร้องผ่านไปยัง ส.ค.บ. หรือผ่านสื่ออีกทางด้วยอย่างน้อยก็เป็นการป้องกันตัวจากอำนาจมืดเพราะสามารถร้องเรียนได้เนื่องจากเราเป็นผู้เสียหายและมีหลักฐานที่จำดำเนินคดีแล้วว่ามีการทำผิดสัญญา-โฆษณาเกินจริงหรือเป็นเท็จ-ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า โดยเรียกร้องความเสียหายทั้งเงินทองและทางจิตใจ-ค่าเสียเวลาเข้าไปด้วย
5. ถ้ามีการเจรจาต่อรองอย่าอ่อนข้ออย่างเด็ดขาด อย่างน้อยควรจบด้วยการเปลี่ยนรถคันที่สภาพดีในราคาที่เท่ากันหรือการคืนเงินหรือยกเลิกสัญญา
............คงคร่าวๆแค่นี้นะครับเพราะความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่อยากจะเขียนถึงเลยเพราะเราหาทางป้องกันทางผู้ประกอบการก็จะรู้ว่าเราจะทำอะไรแต่เมื่อมันเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วก็เลยตัดสินใจเขียนมาให้ศึกษาเป็นแนวทางกันนะครับ...........
............ยังคงย้ำจุดยืนเดิมว่ากรณีที่ผมสงสัย-ลังเล-ไม่แน่ใจผมจะหยุดและไม่ยอมเสี่ยง บางท่านอาจจะมองว่าเป็นการใช้เวลามากเกินไปแต่ถ้ามองว่าเป็นการป้องกันปัญหาที่ตามมาถ้าเจอแค่ครั้งเดียวก็จะรู้ว่าเวลาที่เสียไปก่อนซื้อรถนั้นสุดจะคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเวลาที่จะเสียไปหลังซื้อรถครับ..............
.............หลายๆท่านอาจจะคิดว่ามันคือต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับการซื้อรถเพราะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าขั้นตอนก่อนซื้ออาจจะเสียเงินเพิ่มอีก 5พันถึง 1 หมื่นแต่เมื่อเกิดปัญหาอาจจะเสียหลายหมื่นและเมื่อคิดเป็นค่าที่ต้องมานั่งเป็นทุกข์ยังไงก็คุ้มครับ..............
.............และขอยืนยันอีกครั้งว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มุ่งร้ายใครหรือมีส่วนได้-เสียกับผู้ประกอบการรายใดทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นเพียงเทคนิคส่วนตัวเท่านั้นแม้วันข้างหน้าเมื่อข้อความนี้เผยแพร่ออกไปย่อมมีการระวังและเตรียมตัวเพื่อป้องกันในสิ่งที่พูดไปทั้งหมดก็ตาม แต่กว่าจะถึงวันนั้น...ผู้ที่เข้ามาอ่านข้อความทั้งหมดนี้และนำไปใช้ประโยชน์ทันกาลก่อนที่ผู้ประกอบการจะรู้ตัวน่าจะมีบ้างแม้เพียงแค่คนเดียวก็ถือว่าผมได้ทำในสิ่งมุ่งหวังแล้วตั้งใจแล้วครับ...........
การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม(ตอน 3)
ขอใช้ชื่อตอนนี้ว่า..?ซื้อรถมือสองที่อายุรถกี่ปีคุ้มค่าที่สุด?....
เคยมีถามกันมาบ่อยๆทั้งทางเมล์และในชมรมคนรักรถว่าซื้อรถมือสองที่อายุรถกี่ปีดีหรืออายุรถกี่ปีที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งถ้าเป็นคำถามในชมรมคนรักรถก็จะออกแนวกว้างๆแต่ถ้าถามกันมาทางเมล์จะเน้นที่ความคิดเห็นและทัศนะส่วนตัวของผมเป็นหลัก ความจริงแล้วเรื่องนี้ผมร่างไว้นานแล้วและคิดจะนำเสนอมาเหมือนกัน แต่เกรงเรื่องผลกระทบที่จะตามมาก็เลยไม่มีโอกาสเรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราวเสียที จนระยะหลังๆมาที่นำมาตอบคำถามทางเมล์กลับได้รับการตอบรับที่ดีจึงคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากกว่าหรือแม้จะส่งผลบ้างก็ไม่น่าจะรุนแรงอะไรเพราะยังไงมันก็เป็นเพียงแนวคิดและมุมมองของคนๆนึงเท่านั้น ไม่น่าจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆได้
แม้รถใหม่จะเป็นสุดยอดปรารถนาของคนส่วนใหญ่ และรถมือสองก็เป็นที่ต้องการของคนที่อาจจะกำลังไม่พอที่จะเล่นรถใหม่ที่อาจจะรอจนราคามันร่วงลงมากหรือราคาต่ำกว่าครึ่งลงมาแล้วซึ่งตรงนั้นอายุรถมันอาจจะมากแล้วหรือเริ่มเข้าสู่ระยะซ่อมแบบเต็มตัวแล้ว แต่มีจุดกึ่งกลางระหว่างนั้นของการเป็นรถเก่าที่ยังมีกลิ่นไอของรถใหม่อยู่ แถมราคาก็น่าสนใจมากบวกกับยังได้ความสบายใจในการใช้งานอีกระยะหนึ่งด้วย (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
โดยส่วนตัวแล้วถ้าไม่ยึดติดกับค่านิยมป้ายแดง และอยากได้รถดีๆใช้งานในสภาพใหม่ราคาคุ้มค่าน่าลงทุนแลกกับความสบายใจผมเห็นว่าจุดน่าสนใจที่สุดอยู่ที่รถมือสองอายุ 2-3 ปีหรือสุกงอมเต็มที่คืออายุรถปีที่ 3ครับ สาเหตุเพราะอะไรหรือทำไมผมจึงพูดเช่นนี้ก็ลองมาฟังเหตุผลกันดูนะครับว่า.......
1. รถอายุ 1-2 ปีราคาจะตกก็จริงแต่จะยังเปลี่ยนแปลงและแปรผันตลอดเวลาเพราะตัวใหม่ราคาจะสูงขึ้น ตัวเก่าราคาก็จะตกน้อย หรือถ้าเปลี่ยนรุ่น-โฉมไปราคาก็จะตกมาก แถมรถที่ขายๆบางคันสภาพสวยไม่แพ้รถใหม่ป้ายแดงจึงโก่งราคาขึ้นไปอีก ซึ่งส่วนใหญ่ช่วง 1-2 ปีแรกราคาจะตกแกว่งอยู่ที่ 80-90%จากราคารถใหม่ ยิ่งเป็นรถยอดนิยมที่ยอดขายสูงราคาก็จะแกว่งอยู่ช่วง 85-95%เลยทีเดียว
2. รถอายุ 2-3 ปีราคาจะตกลงอีกก็จริงแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับปีที่ 1-2เพราะจะเป็นการตกลงในด้านของราคาแค่ราว 5000-20000เท่านั้นเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นเทียบกับราคารถใหม่แล้วก็ยังจัดว่าราคายังอยู่ในช่วงเดียวกันกับรถปีที่ 1-2คือช่วง 80-90%จากราคารถใหม่เพราะถ้ามองรายละเอียดดีๆมันเหมือนว่าจะมีการลดเยอะแต่จริงๆเป็นการเพิ่มราคาขึ้นไปแล้วขีดฆ่าหรือมาร์คใหม่ว่าราคาพิเศษจากราคาปกติก็เลยดูเหมือนว่าจะลดลง 2-5หมื่นทั้งที่ความจริงอาจจะแค่ 5000 เท่านั้น ระยะนี้เป็นระยะที่มีการดูท่าทีของผู้ซื้อว่ารถจะปรับเปลี่ยนโฉมบ้างหรือเปล่าเพราะมีบ่อยครั้งที่จะมีการปรับปรุงโฉมหลังจากเปิดตัวไปแล้วราว 2 ปีและจะเปิดจำหน่ายราวปลายปีที่สองหลังจากโฉมเดิม ทำให้จำนวนผู้ซื้อรถช่วงนี้มีน้อยเพราะส่วนมากจะรอดูว่าราคาจะตกอีกหรือเปล่าถ้ามีโฉมใหม่ออกมา ขณะเดียวกันผู้ขายที่เปลี่ยนรถบ่อยๆมักเทขายออกมาช่วงนี้เนื่องจากราคาค่อนข้างทรงตัว
3. พอขึ้นปีที่ 3 ราคารถที่ทรงตัวอยู่จะเริ่มลดลงต่ำกว่า 80%จากราคารถใหม่และมีการอ่อนตัวลงต่ำสุดถึง 60%จากราคารถใหม่เนื่องจากปริมาณที่ปล่อยออกมาจากปีที่ 1-2-3 และผลจากการรอดูท่าทีของผู้ซื้อพอมาถึงปีที่3 จำนวนรถที่ขายจึงมีมาก ตลอดจนรถที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ที่ยังโก่งราคาไว้ต้องลดราคาลงมาสู้เพราะดอกเบี้ยเริ่มทบต้นแล้วยิ่งมาเจอกับจำนวนรถที่มีมากๆการแข่งขันที่เกิดขึ้นของผู้ประกอบการณ์จึงมีสูง ในช่วงปีที่ 3 จึงเป็นปีทองที่มีช่วงของราคาห่างกันมากช่วง 60-80%จากราคารถใหม่และไม่กระโดดเกิน 80%อีกแล้ว ตัวเลือกก็มาก-จำนวนรถก็มาก กำลังการต่อรองของผู้ซื้อจึงมีสูงที่สุดในปีนี้
4. ในปีที่ 4 และปีที่ 5 ราคารถจะเริ่มตกลงน้อยแค่ 10-20%เหมือนปีที่ 1และ ปีที่ 2 ยิง่เป็นรถตลาดยอดนิยมราคาอาจจะตกลงเต็มที่ก็แค่ราว 5-10%เท่านั้นและโอกาสที่จะมีการแหกตาปรับราคาขึ้นเพื่อนำมาจัดรายการลดราคาลงก็เกิดขึ้นมากทำให้ราคาที่ลดลงจริงๆอาจจะน้อยกว่า 5%ด้วยซ้ำ ขณะที่รถในปีที่ 3นั้นโอกาสที่ราคาจะตกมีมากถึง 20-40% อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะรถรุ่นใหม่ที่ออกมาภายในปีที่ 2 จะเปลี่ยนโฉมกันทั้งนั้นราคารถในปีที่ 3 จึงชลอตัวเพื่อดูแนวโน้มของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของรถคนที่จะขายก็จะต้องรีบขายเพราะกลัวราคาจะตก คนที่จะซื้อก็รอดูรุ่นใหม่ๆเป็นช่วงกั๊กๆพอดีที่รถใหม่กำลังคลอด-รถเก่าล้นตลาดหรือมีมากกว่าความต้องการ
5. รถแค่ 3 ปีเป็นรถที่อุปกรณ์ต่างๆเข้าที่ดีแล้วและเป็นช่วงที่สมบูรณ์สุดขีดก็ว่าได้ซื้อมาถ่ายของเหลวก็อัดได้เลยไม่ต้องไปคอยห่วงเรื่องการรัน-อินหรือถ้ามีข้อบกพร่องเช่นการรั่วต่างๆของน้ำมันก็สามารถเห็นได้เลยว่าผิดปกติซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้น ถ้ามันมีการรั่วซึมในเบื้องต้นเราจึงบอกได้เลยว่ารถคันนั้นมีปัญหาหรือเปล่า และเมื่อพบปัญหาก็สามารถมองหาคันใหม่ได้ง่ายเพราะตัวเลือกมีเยอะนั่นเอง
6. รถส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะประกันหรือพึ่งจะหมดประกันสามารถตรวจเช็คได้ง่ายว่าเจ้าของเดิมผ่านอะไรมาบ้าง ดูแลรถเป็นยังไง กอปรกับตัวเลือกก็มากเราจึงสามารถเป็นผู้กำหนดสิ่งที่เราต้องการได้เช่นเอารถที่วิ่งไม่เกิน 5หมื่นโล-ไม่เคยมีประวัติเคลมประกันหรือมีน้อยเป็นต้น
7. อายุรถส่วนใหญ่จะเริ่มซ่อมราวปีที่ 5-6 ดังนั้นเราสามารถใช้รถได้เหมือนใหม่โดยไม่ต้องทำอะไรราว 2-3ปี ถ้าเทียบกับตอนที่เป็นป้ายแดงเจ้าของเดิมต้องจ่ายเงิน 100%เพื่อซื้อรถมาใช้งาน 2-3 ปีแล้วขายรถขาดทุนไปราว 20-40% หรือมองในทางกลับกันถ้าเรามาซื้อปีที่ 3 เราก็จะจ่ายแค่ 60-80%ของราคารถใหม่เพื่อใช้งาน 2-3 ปีเช่นกันเพียงแต่มันไม่มีป้ายแดงปะหน้าแค่นั้นเอง
8. ถ้าซื้อป้ายแดงมาขายในปีที่ 2-3ก็จะขาดทุนราว 10-20%สำหรับรถยอดนิยมและอาจจะสูงถึง 20-40%สำหรับรถทั่วๆไป ถ้าซื้อรถยอดนิยมปีที่ 3 แล้วไปขายปีที่ 5-6 ก็จะขาดทุนราว 10-30%ซึ่งถ้ามองตรงนี้จะเหมือนว่าซื้อปีที่ 3 ขาดทุนมากกว่าแต่ถ้าไปมองตรงเม็ดเงินที่ต้องจ่ายตอนซื้อจะพบว่าเม็ดเงินที่ได้จากการขาย แล้วเอาส่วนต่างมาติดดอกเบี้ยซัก 2-3ปีอันนี้ถ้าคิดลงลึกเข้าไปก็จะเหลือขาดทุนจริงแค่ 5-15%เท่านั้นซึ่งถูกกว่าป้ายแดงอีกครับในคุณภาพที่ใกล้เคียงกันแต่ไม่เท่ห์เท่านั้น ยิ่งเป็นรถทั้วๆไปยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นว่าขาดทุนน้อยกว่าหรือเต็มที่ก็เท่าๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือจำนวนเงินที่ซื้อรถครั้งแรกเพราะการซื้อป้ายแดงต้องลงทุน 100% แต่ซื้อมือสองปีที่ 3 ลงทุนแค่ 60-80%เท่านั้น.
..............คงคร่าวๆเท่านี้นะครับ ยังไงลองๆดูเพิ่มเติมจากข้อมูลที่คุณหรือฐานข้อมูลอื่นๆด้านราคาที่ซื้อ-ขายกันจริงๆที่มีอยู่มากมายตามสื่อต่างๆแล้วลองมานั่งวิเคราะห์ด้วยตัวคุณเองจะดีกว่าว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า โปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการพิจารณาจากข้อมูลจริงทั้งหมดที่คุณมีอยู่ก่อนตัดสินใจครับ..........
..............ความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไปของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันเพราะบางท่านก็อาจจะมองว่าการแลกป้ายแดงมานั้นคือความคุ้มค่าแล้ว ส่วนมุมมองตรงนี้คือการใช้งานจริงอย่างสบายใจไร้ปัญหากับการลงทุนที่ต่ำกว่าโดยตัดเรื่องค่านิยมของป้ายแดงออกไปครับ............. (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))
085-325-2353
วิธีการเลือกซื้อรถมือสอง
ร่วมแสดงความคิดเห็น (11)
ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ารถยนต์คือสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเพื่อความสะดวกสบายหรือเพื่อการทำธุรกิจ ครั้นจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงคันโก้ บางทีมันก็อาจจะไม่สมเหตุสมผลกับทุนทรัพย์เรานัก โดยเฉพาะถ้าเป็นรถคันแรก เราอาจจะใช้อย่างคุ้มค่าสมบุกสมบัน ทนมือทนเท้าสักหน่อย ถ้าจะเป็นรถใหม่ใจมันก็ไม่ถึง อย่ากระนั้นเลยลองมามองหารถใช้แล้วเสียก่อนดีกว่า เอาล่ะครับเมื่อตกลงปลงใจได้อย่างนี้แล้ว เราจะมีวิธีการดูรถมือสองอย่างไร ถึงจะได้รถดีๆ มาใช้ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องดูต้องพิจารณาให้อย่างละเอียด ก็มันไม่เสร็จสรรพง่ายดายเหมือนรถใหม่นี่นา นี่เป็นข้อแนะนำในการดูรถมือสอง ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการซื้อรถมือสอง และวิธีตรวจสอบรถแบบที่ท่านสามารถดูเองได้ครับ
1. โครงสร้างของรถ
ก่อนที่ท่านจะซื้อรถมือสอง ให้ดูสภาพของโครงสร้างภายนอกของตัวรถก่อน จากด้านหน้าไป จรดด้านท้ายรถ สังเกตตามตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลัง จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขายึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน อันนี้คงต้องใช้การสังเกตดูหลาย ๆ คันมาเปรียบเทียบกัน และรถที่ถูกชนมาหนักพวกนี้เวลาที่ใช้งานไปนาน ๆ มักจะพบปัญหาตามมา และในบางครั้งศูนย์ของรถอาจจะคลาดเคลื่อนมากจนเกินที่จะแก้ไขได้ด้วย แต่ถ้าหากมีร่องรอยบ้างไม่มากนัก ก็แสดงว่ารถคันนี้มีการซ่อมแซมจากการชนมาบ้างแล้ว แต่ไม่หนักหนา หรือถ้าไม่พบเลยก็จะเป็นอันดีที่สุด
การดูด้านหลังก็ให้ดูเหมือนด้านหน้า แต่โครงสร้างส่วนหลังนี้มีความสำคัญน้อยกว่าส่วนหน้า ถ้าจะให้เปรียบเทียบโครงสร้างของรถกับโครงสร้าง ของคน ก็คงจะเปรียบได้กับกระดูกที่เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ถ้าเขาเกิดอุบัติเหตุขาหัก ก็จะทำให้เดินกะเผลกเสียศูนย์ เดินแล้วไม่ปกติ เป็น ต้น ซึ่งก็เหมือนกับรถยนต์ หากเสียศูนย์ จนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เมื่อเบรกอย่างกะทันหันรถก็อาจหมุนได้ หรือขณะขับขี่ผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังรถก็อาจลื่นไถลได้ง่ายแม้จะไม่ได้เบรกก็ตาม
โครงสร้างของรถยนต์นั้นหลายส่วนสามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ และก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซ้บซ้อนมากจนไม่มีใครนิยมทำกัน อย่างบังโคลนหน้า ฝาประโปรง ประตู สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่แทนได้ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุมา ส่วนแก้มหลังที่ต่อกับเสาหลังรถหรือเฟรมตัวถังกับเสาประตู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่นิยม เปลี่ยนกัน ด้วยขั้นตอนความยุ่งยากและความแข็งแรงของส่วนนั้นที่จะลดลงหลังจากทำการซ่อมไปแล้ว จึงไม่เป็นที่นิยมของอู่จนพอจะเรียกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ จึงควรจะต้องดูที่บริเวณนี้ให้ดี
2. สภาพตัวถังภายนอกและสีรถ
ลำดับถัดมาเป็นเรื่องของสภาพตัวถังภายนอก ให้ดูว่าสภาพของสีรอบๆ ตัวรถว่ามีการบวมปูดของสีหรือสีซีดด่าง ผุเป็นสนิม มากน้อยแค่ไหน เพราะการทำสีนั้นแต่ละส่วน แต่ละบริเวณนั้นเช่น บังโคลน ค่าทำสีชิ้นละ2,000-3,000 บาท ถ้าต้องทำสีมากหลาย ๆ จุดคำนวณดูแล้วค่าทำสีจะสูงมาก ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
3. เครื่องยนต์
คราวนี้ก็ว่าด้วยเรื่องเครื่องยนต์กลไกต่างๆ แม้ว่าในปัจจุบันนี้รถญี่ปุ่น จะมีเครื่องใช้แล้วจากญี่ปุ่นเข้ามาจำหน่ายมากมายและหาง่ายก็ตาม แต่ราคาของเครื่องยนต์ก็เป็นเรือนพันเรือนหมื่น จึงควรตรวจดูอย่างรอบคอบ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น จากนั้นเมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว ให้ดูว่าเครื่องยนต์เดินเรียบหรือไม่และให้ฟังดูว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน มีเสียงดังแต็ก..แต็ก ของวาล์วหรือไม่ หรือเสียงดังกั๊ก ๆ ที่เกิดจากแคมชาฟท์หรือเพลาข้อเหวี่ยง สลักลูกสูบหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าเครื่องยนต์มีปัญหาใหญ่แน่ ๆ ต่อมาให้ลองฟังดูว่ามีเสียงของลูกปืนไดชาร์จไดสตาร์ทด้วย
จากการฟังก็มาถึงการใช้วิธีดมกลิ่นที่ท่อไอเสียดูถ้ามีกลิ่นไม่ฉุนมากนักก็แสดงว่าเผาไหม้ได้ หมด แต่ถ้ามีกลิ่นฉุนรุนแรงหรือมีควันสีดำออกมาเวลาเร่งเครื่องก็แสดงว่าเผาไหม้ไม่หมดเครื่อง ยนต์ไม่สมบูรณ์ และรถคันนั้นจะกินน้ำมันมากกว่าปกติอีกด้วย หรือถ้าเป็นควันดำสีขาวไหลออก ทางปลายท่อ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงว่าเครื่องหลวมมากเท่านั้น
4. ระบบแอร์
ตรวจสอบแอร์ดูว่ามีเสียงของพัดลมดังผิดปกติหรือไม่เสียงของคอมเพรสเซอร์แอร์ดังขึ้นมาไหม ซึ่งทดลองได้ไม่ยากนัก แค่ปิด-เปิดแอร์ แล้วฟังเสียงดู ถ้ามีเสียงดังตอนเปิด และเงียบลงตอนปิด ก็แสดงว่าคอมแอร์เริ่มมีปัญหาแล้วล่ะ
5. ระบบเกียร์
สำหรับระบบเกียร์นั้นมีวิธีการตรวจเช็กแบบง่ายๆ รถจอดอยู่กับที่ก็สามารถตรวจได้ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติให้ลองเข้าเกียร์ D ดูว่ามีการกระตุกที่รุนแรงไหม โดยใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกเอาไว้แล้วใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อยๆ ถ้ารอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารอบเลยขึ้นไปถึง 2,500-3,000 รอบขึ้นไป ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้วซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นสูงมาก ตั้งแต่ 20,000 บาท ถึงหลักแสนแล้วแต่อาการ
เกียร์ธรรมก็เช่นกัน ให้ติดเครื่องและเข้าเกียร์หนึ่งโดยใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเอาไว้และค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ดู ถ้าเครื่องดับแสดงว่าคลัตช์ยังดีอยู่ แต่ถ้าเครื่องยังไม่ดับก็เป็นอันว่าชุดคลัตช์กลับบ้านไปแล้ว
6. สภาพห้องโดยสาร
การตรวจสอบภายในห้องโดยสารให้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าระบบไฟฟ้าทั้งหลาย ระบบไฟสัญญาณต่างๆ บนหน้าปัดขณะที่บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON สัญญาณเครื่องหมายต่าง ๆบน หน้าปัดจะต้องมีโชว์ขึ้นมาทั้งหมด เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วไฟต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องดับหมด ซึ่งถ้าดวงไหนยังไม่ดับแสดงว่า ระบบนั้นต้องมีปัญหา เช่น ไฟ ABS ถ้าติดอยู่แสดงว่าระบบ ABS มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ และอาจจะต้องเสียเงินค่าซ่อมเป็นเงินหลายตังค์แน่ๆ หรือถ้าไฟ AIR BAG ติดอยู่แสดงว่าระบบ ถุงลมนิรภัยมีปัญหาแน่ ส่วนในบางทีถ้าบิดสวิตช์กุญแจแล้วไฟสัญญาณบางดวงไม่โชว์ทั้งที่มีระบบนั้น ก็แสดงว่า มีการถอดหลอดออกเพื่อไม่ให้ไฟโชว์ แบบนี้ให้ระวังให้ดี
และอีกอย่างสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ก็อย่าลืมตรวจกระจกไฟฟ้า สวิตช์ไฟระบบไฟส่องสว่าง ต่างๆ ว่าทำงานหรือไม่ ระบบเครื่องเสียงยังคงใช้ได้อยู่ไหมไม่ใช่มีไว้แค่ประดับรถให้เจ้าของที่จะซื้อเอาไว้ดูเล่น ตรวจเบาะนั่งทุกตัวต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมทั้งดูอุปกรณ์อื่นๆ ประกอบด้วย
วิธีเลือกรถมือสอง
รถยนต์มือสองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้แต่เนื่องจาก การ ซื้อรถมือสอง มีความเสี่ยงที่สูงว่าจะได้รถที่ดีจริงตามที่โฆษณาหรือไม่นั้น ทำให้หลายคนยอมที่จะซื้อรถป้ายแดงเพื่อ ความสบายใจ วันนี้ ผมจะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อรถมือสอง อย่างง่ายๆ เผื่อเวลาเพื่อนๆไปดูรถ จะได้พอจะ ดูได้ว่ารถคันนี้ดีจริงหรือไม่ครับ
เริ่มแรก ในการซื้อรถ ผู้ซื้อรถ ควรจะกำหนดงบประมาณ และ รุ่นที่ตนเองต้องการไว้ก่อน จากนั้นเมื่อได้รุ่นที่ตนเองต้องการแล้ว ให้ไปดูรถที่เต็นท์รถก่อน ตรงนี้ผมไม่ได้แนะนำให้ซื้อที่เต็นท์นะครับ แต่เต็นท์รถ จะเป็นแหล่งความรู้พื้นฐานที่ดีสำหรับผู้ซื้อรถครับ สิ่งที่ผมต้องการให้ดูคือ
ประกาศอื่นๆในหมวดหมู่เดียวกัน 20 รายการ (แสดงทั้งหมด)
หน้า แสดง - จากทั้งหมด 22654 ประกาศ
|
|
|
|
|
|
|
300,000 บาท |
|
|
|
79,000 |
|
|
|
999,999 บาท |
|
|
|
200,000 บาท |
|
|
|
1,000 บาท |
|
|
|
1,000 บาท |
|
|
|
1,000 บาท |
|
|
|
650,000 บาท |
|
|
|
300,000 บาท |
|
|
|
1,000 บาท |
|
|
|
1,000 บาท |
|
|
|
300,000 บาท |
|
|
|
300,000 บาท |
|
|
|
300,000 บาท |
|
|
|
300,000 บาท |
|
|
|
200,000 บาท |
|
|
|
200,000 บาท |
|
|
|
200,000 บาท |
|
|
|
200,000 บาท |